[WFcontest] pause ขบวนรถไฟในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง - [WFcontest] pause ขบวนรถไฟในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง นิยาย [WFcontest] pause ขบวนรถไฟในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง : Dek-D.com - Writer

    [WFcontest] pause ขบวนรถไฟในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง

    ขบวนรถไฟสายพอส ว่ากันว่าถ้าใครได้ขึ้นไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับลงมา แต่นั่นก็แค่ข่าวลือไร้สาระในโลกไซเบอร์ไม่ใช่หรือไง... แต่ถ้า... มันได้กลายเป้นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ?

    ผู้เข้าชมรวม

    368

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    368

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ม.ค. 58 / 12:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    มุมน้ำชา

     

    เรื่องนี้แต่งขึ้นมาเพื่อส่งเข้าประกวด โครงการ "WFcontest โปรเจคสานฝันให้นักเขียนรุ่นใหม่" 

    ของสำนักพิมพ์ 1168 ค่ะ ยังไงก็ขอฝากเรื่องสั้นนี้ไว้ในอ้อมแขนนักอ่านที่หลงเข้ามาทุกท่านด้วยนะคะ

     

     










     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ในโลกของอินเทอร์เน็ต มีเรื่องเล่าอยู่มากมายที่มีทั้งความจริงและความเท็จผสมปนกันไป จนแทบไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเรื่องใดคือเรื่องจริง เรื่องใดคือเรื่องหลอกกันแน่ ทว่าเรื่องราวที่ได้อ่านเจอในโลกไซเบอร์ แทบจะหาความจริงไม่ได้เกินครึ่ง มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะไม่เชื่อถือข่าวลือต่างๆ ที่เผยแพร่อยู่บนโลกออนไลน์

      แต่ถึงจะไม่เชื่อ ก็ใช่ว่าจะไม่ชอบอ่านเสียหน่อย...

      ข่าวลือที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ มันเกี่ยวกับรถไฟสายหนึ่ง เล่ากันว่าถ้าใครได้ขึ้นไปแล้ว จะไม่มีวันได้กลับลงมาอีกเลย พออ่านมาถึงตรงนี้ ภายในใจก็ได้เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่าถ้าไม่มีใครได้กลับลงมาจริง แล้วเรื่องเล่าพวกนี้มันโผล่มาจากไหนล่ะ แต่แน่นอนว่ามันคงจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องแต่งเพื่อสร้างกระแสเหมือนกับเรื่องอื่น

      เขาถึงไม่คิดที่จะใส่ใจแล้วไล่สายตาอ่านตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือตัวเองต่อไป ช่วงระหว่างนั้นได้ยินเสียงขบวนรถไฟกำลังเข้าสู่ชานชาลา ทว่าความสนใจของเขาก็ยังคงไม่ละไปจากตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแต่อย่างใด

      นอกจากยังคงอ่านเนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนนั้นต่อ ก็พบเนื้อหาส่วนที่เหลือ ได้กล่าวถึงจุดสังเกตภายในรถไฟที่ถ้าขึ้นไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับลงมานั่น อย่างเช่นว่าบนรถไฟจะไม่มีใครนั่งอยู่เลยนอกจากตัวเอง ทั้งที่ในตอนขึ้นไป มีคนอื่นอยู่ด้วย

      ถัดไปก็เป็นทิวทัศน์ที่พอมองออกไปนอกหน้าต่าง จะพบว่ามันเป็นภาพทิวทัศน์เดิมๆ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน ราวกับว่าตัวรถไฟกำลังจอดอยู่ ทั้งที่ในความรู้สึกแล้ว สามารถสัมผัสได้ว่ามันกำลังวิ่ง และสิ่งสุดท้าย... ก็คือตุ๊กตา...

      หลังอ่านจบ รถไฟได้เข้ามาจอดที่ชานชาลาพอดี เด็กหนุ่มตัดสินใจละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์เป็นการชั่วคราว และเดินขึ้นขบวนรถไฟไปพร้อมกันคนอื่น ก่อนกวาดสายตามองหาที่นั่งไปสักพัก เมื่อไม่เห็นที่ใดว่างอยู่เลย เขาจึงตัดสินใจยืนอยู่ใกล้กับบานประตู

      แล้วสายตาก็กลับมาจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเลื่อนไปอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย เขาถึงได้รู้ว่ารถไฟที่กล่าวอยู่ในเรื่องเล่าทั้งหมด มันถูกเรียกขานกันว่าขบวนรถไฟสายพอส หรือ ขบวนรถไฟในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง ถือได้ว่าเป็นชื่อเรียกที่แปลกแต่ก็คิดว่ามันก็เข้าดีเช่นกัน

      แต่พอเลื่อนหน้าจอลงไปด้านล่างเรื่อยๆ เขาก็ถึงพึ่งจะสังเกตเห็นว่านอกจากมันจะบอกถึงชื่อเรียก จุดสังเกตของภายในขบวนรถไฟแล้ว ก็ยังมีบอกถึงเงื่อนไขในการขึ้นอยู่อีกด้วย ทันทีที่อ่านมาถึงตรงนี้ ในใจเขาก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาในทันทีว่าถ้าขึ้นไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับลงมาอีก

      ใครเขาอยากจะขึ้นไปกัน แน่นอนว่าต่อให้ในใจเขานึกย้อนไปแบบนั้น สายตากลับยังคงไล่อ่านตัวหนังสือที่ปรากฏให้เห็นต่อไป ทว่ายังไม่ทันได้อ่านเงื่อนไขข้อแรก สัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบกาย นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ที่เอาแต่จ้องมองหน้าจอมือถือมาโดยตลอด

      เงยขึ้นแล้วกวาดมองไปรอบกายด้วยความสงสัยว่าทำไมรถไฟถึงไม่จอดลงที่สถานีถัดไปเสียที เพราะระยะเวลาในการเดินทางจากสถานีหนึ่ง ไปสู่อีกหนึ่งสถานี มันไม่น่าจะใช้เวลานานมากนัก แต่พอได้เงยหน้าขึ้นแล้วสำรวจสภาพโดยรอบ

      เขาถึงได้พบว่าเหล่าผู้คนที่ขึ้นมาพร้อมกับเขาได้หายไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครนั่งอยู่สักคน ราวกับว่ารถไฟสายนี้ไม่มีใครขึ้นมาพร้อมกับเขาตั้งแต่แรก ทั้งที่ในตอนเดินขึ้นมา มั่นใจได้ว่าเขาไม่ได้เดินขึ้นมาตัวคนเดียวอย่างแน่นอน ที่สำคัญไปกว่านั่น ในตอนกวาดสายตามองหาที่นั่ง ก็มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด จนเขาต้องมายืนอยู่แบบนี้

       หลังได้ข้อสรุปว่าตัวเองไม่ได้ขึ้นมาเพียงลำพังอยู่แน่นอนเสร็จ ตัดสินใจว่าจะลองเดินไปดูรถไฟขบวนอื่นโดยทันที ด้วยความคิดในแง่ดีที่ว่ารถไฟมันอาจจะจอดที่สถานีไปแล้วและผู้คนได้ลงกันไปหมด ทำให้ตู้โดยสารในขบวนนี้ไร้ซึ่งผู้คน แต่กับตู้โดยสารอื่นแล้ว มันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

      คิดได้เช่นนั้นก็ออกเดินไป ไล่ดูทีละตู้โดยสารด้วยหัวใจที่เต้นระทึกไปด้วยความตื่นเต้น ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ทั้งที่ตัวเองอาจจะกำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์เหนือธรรมชาติอยู่ก็เป็นได้ ทว่าใจเขากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงเดินไปดูทีละตู้โดยสารอย่างค่อยเป็นค่อยไป

      ไล่กวาดสายตามองไปทางซ้ายที ทางขวาที ด้วยความรู้สึกแบบไหน หรือจะได้พบอะไร เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเช่นกันว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่กันแน่ แต่สิ่งที่เขาควรทำในขณะนี้ ก็คือการสำรวจตู้โดยสารทั้งหมดนี่เสียก่อน แต่ด้วยจำนวนของมันที่คาดเดาด้วยสายตาแล้ว เขารู้สึกว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควร...

       

      จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้ตัดสินใจยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าทั้งเข็มสั้นและยาว ได้ชี้ไปอยู่ที่ตัวเลข 4 ทั้งหมด รวมไปถึงเข็มวินาทีก็ด้วย และเรื่องที่น่าแปลกไปกว่านั้น ก็คือเข็มวินาทีมันไม่เคลื่อนไหว

      มาถึงตรงนี้เขาเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากที่เอาแต่มองอยู่ภายในตู้โดยสารเพียงอย่างเดียว เริ่มตวัดสายตามองออกไปข้างนอกบ้าง ก็พบว่าภาพทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ มันไม่ใช่ภาพของตัวเมืองแต่เป็นพื้นที่โล่ง บริเวณพื้นทั้งหมดมีใบเมเปิลสีแดงสดกระจายอยู่ทั่วพื้น จนแทบย้อมทุกสิ่งให้กลายเป็นสีแดง และตรงใจกลางของสถานที่แห่งนั้น

      มีต้นเมเปิลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ใบสีแดงของมันพลิ้วไหวไปตามสายลม ดูราวกับภาพวาดเสียมากกว่าความเป็นจริง แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขาได้อย่างแท้จริง คงจะเป็นภาพที่เห็นอยู่มันหยุดนิ่ง ไม่ได้เคลื่อนผ่านไปตามขบวนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่

      เจอเหตุการณ์เหล่านี้เข้าไป อยู่ๆ เขาก็นึกไปถึงเรื่องเล่าขบวนรถไฟสายพอสในทันที มือที่ถือโทรศัพท์เอาไว้โดยตลอด รีบยกขึ้นมาดูเพื่ออ่านเงื่อนไขที่เขียนอยู่

      “ต้องขึ้นรถไฟในช่วงเวลา 4 นาฬิกา 4 นาที 4วินาที...”

      อ่านออกเสียงเพื่อซึมซับทุกประโยคที่เขียนอยู่จบ ต่อให้ใจไม่นึกอยากจะเชื่อก็ตาม แต่ทุกสิ่งที่เขาพบอยู่ในขณะนี้ มันคือเครื่องยืนยันว่าเขาอยู่บนรถไฟสายพอสไม่ผิดแน่ พอรู้อย่างนี้เข้า รีบอ่านเรื่องเล่าที่เหลืออยู่ทั้งหมดโดยทันที แต่ก็ไม่พบวิธีออกไปจากทีนี้เลย นอกจากเงื่อนไขข้ออื่นๆ ที่ไม่ได้นึกสนใจแล้วว่ามันจะเป็นอะไร

      รู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้ ตัวเขาจะต้องหาทางออกไปจากรถไฟสายนี้ให้ได้เสียก่อน แต่ต่อให้ใจคิดเช่นนั้นก็ตาม การลงมือทำจริงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเมื่อระหว่างช่วงสำรวจ เขาไม่พบอะไรสักอย่างเดียว นอกจากความว่างเปล่า

      ต่อให้เบื้องหน้าเขา จะยังเหลือตู้โดยสารสุดท้ายที่ยังไม่ได้สำรวจอยู่ก็ตาม ทว่าเท่าที่ดูจากตู้โดยสารอื่นที่ผ่านมา มันทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้เข้าไปสำรวจ มันก็คงจะเป็นเหมือนกับที่ผ่านมาอย่างแน่นอน แต่ต่อให้ใจมันจะคิดเช่นนั้นก็ตาม ตัวเขาที่ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ก็คงทำได้เพียงเปิดประตูที่กั้นระหว่างตู้โดยสารออก แล้วเดินเข้าไปเพื่อทำการสำรวจเท่านั้น

      !?

      ทว่าทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน แสงสีส้มในยามเย็นที่เคยสาดส่องเข้ามาด้านในกลับหายไปสิ้น และถูกแทนที่ด้วยแสงไฟสีขาวนวลไปแทน ภายในก็เหมือนจะหลุดเข้ามาอยู่ในห้องแห่งหนึ่งมากกว่าตู้โดยสาร เพราะแทนที่ด้านซ้ายและด้านขวาจะมีเก้ากี้ตั้งเรียงรายอยู่ กลับไม่มีปรากฏ

      บริเวณพื้นถูกปูด้วยผ้าสีดำสนิทและมีใบไม้สามแฉกสีแดงเช่นเดียวกับทิวทัศน์ด้านนอกที่เห็น ตกกระจายอยู่เต็มพื้น และเมื่อมองตรงไปเบื้องหน้าบริเวณตรงกลาง เขาเห็นเด็กหนุ่ม... หรือถ้าจะพูดให้ถูก มันน่าจะเป็นตุ๊กตาขนาดเท่ากับคนจริง นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แทบจะกลืนไปกับพื้นเบื้องล่าง

      เพราะเมื่อลองสังเกตดูให้ดีแล้ว ก็สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ จะต้องเป็นตุ๊กตาอย่างแน่นอน ในเมื่อผิวของอีกฝ่ายมันขาวซีดในชนิดที่ว่าไม่ใช่ผิวหนังของสิ่งมีชีวิต ใบหน้าเองก็งดงามมากจนเหมือนชิ้นงานที่ถูกแกะสลักขึ้นอย่างประณีต เส้นผมเป็นสีดำขลับ ชุดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่มิดชิดจนทำให้ไม่อาจมองเห็นรอยข้อต่อได้เลย ตรงบริเวณลำคอเองก็มีผ้าพันคอสีแดงสดพันรอบไว้อยู่อีก

      ทำให้นาทีแรกที่พบเห็น เขาถึงได้คิดว่าเป็นมนุษย์มากกว่าตุ๊กตา สองขาก้าวเข้าไปใกล้อย่างต้องการมองให้ถนัดตามากขึ้น เพราะต่อให้ตัดสินไปแล้วว่าเป็นตุ๊กตา แต่ด้วยความเหมือนที่มีมากจนแทบแยกไม่ออกนั่น มันก็นึกอยากทำให้เขาเข้าไปพิสูจน์ใกล้ๆ อยู่ดี

      ทว่าเพียงก้าวเท้าออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เปลือกตาที่ปิดอยู่กลับลืมขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเพลิง ตรงตาดำขีดเป็นเส้นตรงเหมือนกับตาของแมว จ้องตรงมาทางเขานิ่ง ส่งผลให้ฝีเท้าต้องหยุดชะงักไป เป็นการรอดูท่าทีของสิ่งตรงหน้าว่าจะทำอันตรายอะไรเขาหรือไม่

      “สวัสดี” แต่ท่าทีที่แสดงออก มีเพียงการกล่าวทักทายออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส ยิ่งทำให้สิ่งตรงหน้าดูเหมือนมนุษย์มากขึ้นไปอีก มายามนี้เขาก็ชักจะเริ่มไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองเสียแล้วว่าสิ่งที่เห็นอยู่ มันใช่ตุ๊กตาแน่เหรอ ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถเคลื่อนไหวและพูดคุยกับเขาได้แบบนี้

      “สวัสดี... นายเป็นตุ๊กตาหรือว่าคน หรือว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ทักทายโต้ตอบกลับไปพร้อมถามกลับด้วยสีหน้าแสดงความจริงจัง อีกฝ่ายที่ยังไม่รู้แน่ว่าเป็นตัวอะไรนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเช่นเก่า ดูไม่ถือโกรธอะไรเลย แม้คำพูด... มันจะให้ความรู้สึกตรงข้ามกันเลยก็เถอะ

      “คุเรฮะ... นั่นคือชื่อของผมครับ ส่วนจะเป็นอะไรนั่น มันก็เรื่องของผม” นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อย่างพยายามตีความให้ออกว่าคนตรงหน้าโกรธกันอยู่หรือไม่ แต่แค่มองจากภายนอก คงจะไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะอีกฝ่ายยังคงยิ้มอยู่เช่นเก่า เขาถึงได้ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ อีกครั้ง

      “โค คาโนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่นายโกรธที่เราถามไปเมื่อกี้หรือเปล่า“ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแนะนำตัวออกไปด้วยเช่นกัน พอถามออกไปจบ คุเรฮะยังคงยิ้มให้เหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเหนื่อยใจอยู่ก็ไม่รู้

      “เรื่องแนะนำตัวพักไว้เท่านี้ก่อน ตอนนี้พวกเรามาที่เรื่องของคุณกันดีกว่าครับ” แล้วก็ว่าเปลี่ยนเรื่องไปโดยไม่ยอมตอบคำถามกันออกมาตรงๆ คาโนะที่นึกอยากจะทวงถามแต่พอคิดได้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องไร้สาระ ปากที่เตรียมกล่าวถามออกไปจึงปิดเงียบ และพยักหน้ารับออกไปแทน

      “ผมไม่ขอพูดอะไรให้มากความนะครับ เพราะการอธิบายเรื่องเดิมซ้ำๆ ไปมามันน่าเบื่อ” ก็ได้แต่พยักหน้ารับตอบออกไปอีกตามเคย ต่อให้ภายในใจจะนึกสงสัยอยู่ก็ตามว่าคนที่หลุดขึ้นมาบนรถไฟขบวนนี้ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้งกัน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป นอกจากนิ่งเงียบแล้วรับฟังคำอธิบาย

      “เคลียร์เงื่อนไขให้ได้ทั้งหมด แล้วผมจะมอบคำตัดสินให้” แต่บทจะสั้นก็สั้นเกินไป เพราะมันแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

      “รู้แล้วครับว่างง อธิบายให้ฟังเพิ่มอีกหน่อยก็ได้” ไม่รู้เป็นเพราะสีหน้าเขาแสดงออกมากจนเกินไปหรือไม่ คุเรฮะถึงได้ว่าออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงแสดงความเบื่อหน่าย ทำให้ดูไม่เข้ากับสีหน้าที่แสดงออกเท่าไรนัก

      “รถไฟขบวนนี้จะวิ่งอยู่ในช่วงเวลานิรันดร์ คนที่ขึ้นมาได้ก็จะต้องเกือบจะอยู่ในช่วงเวลาที่ว่าหรืออยู่แล้วก็ได้ แล้วแต่ว่าจะเคลียร์เงื่อนไขได้ขนาดไหน ส่วนเงื่อนไข คุณเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มายืนอยู่ตรงหน้าผมแบบนี้หรอก” ครั้งนี้ยอมเปิดปากพูดอธิบายออกมามาขึ้นแล้วก็จริง แต่สิ่งที่ได้รับฟังนั่น ไม่อาจสร้างความเข้าใจให้เลย

      “เงื่อนไข... หมายถึงขึ้นรถไฟขบวนนี้เวลา 4 นาฬิกา 4 นาที 4 วินาทีน่ะเหรอ” ลองถามออกไปดูถึงเงื่อนไขที่มีอยู่ในหัวเขาตอนนี้ ด้วยความไม่มั่นใจเท่าไรนักว่ามันจะใช่สิ่งเดียวกับที่คุเรฮะพูดถึง

      “ใช่ครับ” แต่ก็ดันถูกได้อย่างไม่น่าเชื่อเสียอีก คาโนะนิ่งเงียบแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านเงื่อนไขข้อถัดไปโดยทันที เมื่อรู้แล้วว่าเรื่องเล่าที่เขาพึ่งได้อ่านมา มันก็เป็นหนึ่งในบรรดาเรื่องเล่าที่มาจากความจริงนั่นเอง สายตาไล่กวาดมองตัวหนังสือที่ปรากฏ ก็ถึงกับเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้างด้วยความตกใจ

      เมื่อเงื่อนไขข้อที่สองที่เขียนอยู่นั่น มันบอกว่าจะต้องเป็นคนที่ดวงชะตาใกล้ขาดแล้วเท่านั้น และถ้าสิ่งที่เขียนอยู่เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าตัวเขาก็ใกล้จะตายแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ขณะคิดไม่ตกถึงเงื่อนไขที่พึ่งได้อ่านไป มือที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งได้ตบเข้าที่ไหล่อย่างแรง

      ตุบ!

      “คุณรู้หรือเปล่า ว่าทำไมเวลาที่ขึ้นรถไฟขบวนนี้ถึงต้องเป็นเลข4”

      ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อว่าอะไรออกไป คุเรฮะก็ได้สวนคำถามกลับมาเสียก่อน สร้างความไม่พอใจให้แต่พอเจอเรื่องน่าสนใจกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ดูจะหายออกไปจากหัวจนสิ้น แล้วหันมาครุ่นคิดถึงคำตอบกันอย่างจริงจังไปพักหนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยตอบกลับไป

      “เวลาของคนตายมันเป็นนิรันดร์และเลข 4 เอง ก็อ่านออกเสียงคล้ายกับคำว่าตาย... น่าจะประมาณนี้” เอ่ยตอบออกไปด้วยความไม่มั่นใจเท่าไรนัก แต่พอเห็นคุเรฮะพยักหน้ารับกลับมา เพียงเท่านี้เขาก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วว่าสิ่งที่คิดไว้มันถูกต้อง

      “เอาล่ะเงื่อนไขข้อสุดท้าย คุณคิดว่าสีแดงเป็นตัวแทนของอะไร” พอได้ยินว่าเป็นเงื่อนไขข้อสุดท้าย แทนที่จะเอ่ยตอบออกไป สิ่งที่เขาทำกลับตรงข้าม นอกจากจะไม่ได้เอ่ยตอบกลับไปในทันทีแล้ว คาโนะยังก้มหน้าลงต่ำ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปสักพักก็เงยหน้าขึ้น และเอ่ยถามออกไปแทน

      “แต่ในนี้มันยังเขียนว่ายังมีเงื่อนไขข้ออื่นๆ อยู่อีกนะ” เอ่ยแย้งออกไปแบบนั้นพร้อมยื่นโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายได้เห็นถึงสิ่งที่เขียนอยู่ แม้ภายในใจจะพอรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตามว่าจะได้รับคำตอบอะไรกลับมา ฝ่ายคุเรฮะเองก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรออกมา นอกจากก้มหน้าลงมองสิ่งที่ถูกยื่นมาให้

      “แค่สามข้อก็ยุ่งยากแล้ว แต่นี่สิบข้อเลยเหรอครับ... คนคิดนี่ก็เก่งเนอะ” แล้วยังเอ่ยคุยเล่นอย่างเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้น คาโนะเองก็เผลอพยักหน้ารับไปก่อนนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะเอ่ยตอบ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยกล่าวอะไรออกมา ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาทางด้านหลัง

      ตุบๆ

      ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างกระทบกับพื้นซ้ำไปซ้ำมา ให้ความรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเด้งของลูกบอล แต่พอมาคิดดูให้ดีแล้ว ภายในสถานที่แห่งนี้ มันไม่น่าจะมีใครมาเล่นเดาะบอลอยู่ได้หรอก และต่อให้มีอยู่จริง คำถามถัดมาก็คือ... ใครกันที่เป็นคนเดาะบอล

      “คุณนี่สร้างความลำบากให้ผมจริงๆ เลยนะครับ ปลุกให้ตื่นขึ้นมายังไม่พอ คุณยังไปปลุกเจ้าพวกนั้นให้ตื่นขึ้นมาอีก” คำพูดที่บ่งบอกว่ารู้ถึงที่มาของเสียง คาโนะเตรียมถามออกไปในทันทีว่าที่พูดถึงอยู่ มันหมายความว่าอย่างไร แล้วภายในรถไฟขบวนนี้ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีใครอื่นอยู่อีก

      “ท่าทางคุณจะสร้างความยุ่งยากให้ผมจริงด้วย” แต่ยังไม่ทันได้กล่าวถามอะไรออกไป คุเรฮะบ่นพึมพำออกมาเช่นนั้นแล้วเดินผ่านเขาไปเบื้องหลัง เมื่อมองตามไปก็ถึงกับเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้างด้วยความตกใจ เพราะเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นที่ได้หันไปมอง

      สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือคุเรฮะเตะอะไรบางอย่างที่มีสีดำดูกลมๆ คล้ายกับลูกบอล แต่พอลองสังเกตดุให้ดีแล้ว ทุกส่วนของสิ่งนั้นไม่ได้กลมไปจนหมด มันยังมีบางส่วนยื่นออกมาจนดูแล้ว เหมือนกับหูของกระต่ายไม่มีผิด แล้วยังไม่ทันได้ทำหรือกล่าวว่าอะไรออกไป

      คนที่พึ่งเตะส่งลูกกลมๆ สีดำใส่ผนังไปก็รีบเดินเข้าไปประชิด แล้วเหยียบซ้ำลงไปในทันที จนน่ากลัวว่าถ้ายังออกแรงมากๆ อยู่แบบนั้น สิ่งที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นลูกบอล อาจจะแตกเอาได้ ทว่าพอลองสังเกตดูให้ดีแล้ว ก็พบว่ามันมีตา มีปาก... สรุปแล้วเจ้าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ลูกบอล!

      “คือว่า...”

      “พวกเราเรียกมันว่าอันโนว์”

      ไม่ต้องถามออกไปจนจบประโยค น้ำเสียงฟังดูเบื่อหน่ายก็ได้เอ่ยอธิบายอกมาด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่การกระทำมันตรงข้าม เพราะในตอนนี้คุเรฮะไม่ได้แค่เหยียบอยู่อย่างเดียวแล้ว แต่ยังมีการกระทืบซ้ำลงไปอีกหลายๆ ทีอีกด้วย ท่าทางในอีกไม่ช้าก็เร็ว เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่มั่นใจว่าเป็น อาจจะแตกหรือตายในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้ หูก็คอยรับฟังคำอธิบายจากคุเรฮะ

      “ถ้าให้เปรียบง่ายๆ ก็คงจะเป็นผู้โดยสารล่ะมั้ง” คำอธิบายที่ฟังแล้วไม่เข้ากับการกระทำในขณะนี้อย่างถึงที่สุด เพราะถ้าเจ้าสิ่งนั้นคือผู้โดยสารของบวนรถไฟสายพิเศษที่กว่าจะขึ้นได้ก็ต้องเคลียร์เงื่อนไขเสียก่อน การไปกระทืบมันแบบนั้น ก็ดูไม่ใช่เรื่องเหมาะสมเท่าไรนัก

      “ลืมบอกไปอีกเรื่อง คุณที่เป็นผู้โดยสารจากมิติอื่น ถ้าเข้าใกล้มัน ระวังจะโดนกินเอาได้นะครับ” นึกขอถอดคำพูดโดยทันทีหลังได้ยินคำเตือนนี้เข้าไป สองขาก็รีบก้าวถอยไปติดอยู่อีกมุมหนึ่งโดยทันที พยามเว้นระยะห่างจากเจ้าสิ่งนั้นให้มากที่สุด เท่าที่สถานที่มันจะให้กับเขาได้

      “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้คุเรฮะบอกว่ามิติอื่น” หลบตัวอันตรายมาอยู่ในระยะที่คิดว่าปลอดภัยเสร็จ นึกขึ้นได้ว่าประโยคคำเตือนเมื่อครู่ฟังดูแล้วมีสิ่งน่าสงสัย เขาถึงได้เอ่ยถามออกไป โดยสายตายังคงจ้องเจ้าลูกกลมๆ สีดำที่ในตอนนี้เริ่มไม่กลมเข้าไปทุกขณะ ด้วยความระแวง กลัวว่าถ้าคุเรฮะเผลอเมื่อไร มันอาจจะกระโจนเข้าใส่ก็เป็นได้

      “ใช่แล้วครับ เพราะโลกใบนี้คือโลกที่เวลาหยุดนิ่ง แต่ก็ไม่ใช่โลกของคนตายเช่นกัน” คำอธิบายชวนงง แต่ก็พอเข้าใจไปได้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของตัวเอง

      “เหรอ...” ขานรับด้วยท่าทางเฉยๆ ทั้งที่ใจรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่ดูราวกับเรื่องโกหกพวกนี้ แต่ทุกสิ่งที่เขาได้พบเจอ มันก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริงที่ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ก็อาจจะถึงตายเอาได้

      “ดูไม่ค่อยตื่นกลัวเลยนะครับ ทั้งที่คนอื่นๆ ออกแนวจะเป็นบ้ากันทั้งนั้น” คำพูดก็ยังคงตรงได้อย่างเช่นเคย ไม่เข้ากับหน้าตาที่มีแต่รอยยิ้มนั่น คาโนะยิ้มเจื่อนตอบกลับไปโดยไม่พูดตอบอะไรทั้งสิ้น สายตาก็เริ่มกวาดมองไปรอบตัวบ้างแล้ว หลังมั่นใจได้ว่าคุเรฮะ จะไม่ปล่อยสิ่งที่เรียกว่าอันโนว์เข้ามาใกล้ตัวเขา

      “บางที... คุณอาจจะเป็นคนที่ผมหาอยู่ก็เป็นได้นะครับ” ช่วงขณะเผลอละสายตาไปไม่ได้จ้องมองไปทางคุเรฮะ ราวกับได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่าง เขาถึงได้หันกลับไปมองแล้วก็ถึงกับผงะไป เมื่ออันโนว์ที่เข้าใจว่าคงจะไม่ถูกปล่อยมาทางเขา กำลังกระโจนพุ่งตรงมาอย่างเร็ว

      สองมือยกขึ้นป้องหน้าตัวเองในทันทีเมื่อเห็นว่าคงไม่สามารถหลบได้ทัน ทว่ารอให้เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ กลับไม่มีแรงกระแทกใดๆ เกิดขึ้น คาโนะลดระดับมือลงต่ำ แล้วมองสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยความสงสัยในทันทีว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับอันตรายใด

      “หรือบางทีอาจจะไม่ใช่... เอาเถอะ คนที่ตามหาอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง” พอลดระดับมือลงแล้ว ภาพที่ปรากฏก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย เมื่อได้เห็นแล้วว่าที่ลูกกลมๆ สีดำนั้นเข้ามาไม่ถึงตัวเขา ก็เป็นเพราะคุเระฮะกำลังเดาะมันอยู่นั่นเอง

      “ขอบคุณนะ” อดไม่ได้ที่จะกล่าวคำขอบคุณออกไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขานรับอะไรกลับมา นอกจากจ้องหน้าเขาเงียบๆ ไปพักหนึ่ง แล้วถึงถอนหายใจออกมา

      “เฮ้อ... ไปกันเถอะ” แล้วเอ่ยชวนให้ไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ก่อนโยนอันโนว์ที่ตัวเองเดาะอยู่ทิ้งไป อย่างไม่คิดใส่ใจเลยว่ามันจะกลิ้งไปทางไหน ตัวก็เดินนำออกไปจากห้องโดยทันที ทำให้คาโนะต้องรีบวิ่งตามออกไปด้วยอีกคน เพราะถ้าเขาอยู่ภายในห้องนี้นานกว่านี้ไปอีกนิด

      อันโนว์ที่คุเรฮะพึ่งจะโยนทิ้งไป คาดว่ามันคงจะเข้าจู่โจมเขาทันทีก็เป็นได้ แล้วมันก็เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ เพราะทันทีที่เดินออกมาอยู่อีกตู้โดยสารหนึ่ง เจ้าลูกกลมที่ดูแล้วเหมือนลูกบอล แต่พอมองดูอีกทีก็เหมือนหัวตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่น มันกำลังพุ่งมาทางเขา แต่ยังไม่ทันได้โผล่พ้นออกมาจากตู้โดยสาร บานประตูก็ได้ถูกปิดลง ด้วยฝีมือของคนที่เดินนำออกมาก่อน

      ปัง...

      “ไปกันเถอะ” แล้วก็เอ่ยชวนให้ออกเดินไปด้วยกันต่อ อย่างไม่ใส่ใจเลยว่าห้องที่ตัวเองเคยอยู่ มันจะมีสภาพเป็นเช่นไร ถ้าหากปล่อยให้อันโนว์ตัวนั้นอยู่เพียงลำพัง และต่อให้อยากจะถามออกไปมากเท่าไร เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ถามแล้ว ในเมื่อตัวคนถามเดินนำไปก่อนอีกแล้ว

      “คิดจะไปไหนเหรอ” อดถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้ เพราะสถานที่แห่งนี้ ดูๆ ไปแล้วมันก็เหมือนกันหมด จะไปอยู่ที่ตู้โดยสารไหน มันก็น่าจะเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องย้ายไปที่อื่นก็ได้ ทว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ ดูท่าทางจะผิด

      “หาคำใบ้ครับ” คาโนะถึงกับนิ่งคิดไปอีกครู่ใหญ่กันเลยทีเดียวว่าสิ่งที่คุเรฮะพูด มันหมายถึงอะไร แล้วคำใบ้ที่ต้องหา มันใช้ทำอะไร แต่ก่อนจะได้ถามอะไรออกไป อยู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามที่เป็นเงื่อนไขข้อสุดท้ายเลย บางทีคำใบ้ที่ว่ามันอาจจะหมายถึงในเรื่องนี้

      “คิดให้ดีก่อนตอบผม เพราะมันสามารถตอบได้ครั้งเดียว และที่สำคัญไปกว่านั้น คำตอบที่คุณได้เอ่ยบอก มันจะกลายเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตคุณ” กล่าวคือถ้าเขาตอบผิด ตัวเขาอาจจะตายเอาได้ คาโนะพอเข้าใจสิ่งที่คุเรฮะต้องต้องการแล้ว แต่ก็มีอีกเรื่องที่ยังนึกติดใจ

      “ทำไมถึงช่วยล่ะ อีกอย่าง นายน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาช่วยกัน ทั้งที่ตัวเองก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะต้องมาลำบากในการช่วยตามหาคำใบ้ที่ไม่รู้ว่าจะหาได้หรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ คาโนะถึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย

      “ผมไม่รู้คำตอบหรอก ส่วนที่ช่วย... เพราะถ้าปล่อยคุณเอาไว้คนเดียว คงโดนกินก่อนแน่ๆ” พูดไม่ทันขาดคำ คุเรฮะที่เอาแต่เดินนำหน้ามาโดยตลอด หันหลังกลับมาแล้วทำท่าเหมือนจะคว้าอะไรบางอย่างตรงหน้าเขา แต่พอลองมองดูให้ดีแล้ว จะพบว่ามันคืออันโนว์นั่นเอง แม้ขนาดของมันจะเล็กกว่ามากก็เถอะ

      “เจ้าพวกนี้จะซ่อนตัวอยู่ตามเงามืด ระวังตัวให้ดีนะครับ” รับฟังคำเตือนแล้วพยักหน้ารับ สายตาก็มองไปรอบกายด้วยความระแวง เพราะตามใต้ที่นั่งหรือมุมอับแสงก็มีอยู่หลายจุดอยู่เหมือนกัน แถมมองไปแล้วก็แทบแยกไม่ออกเลยว่ามีตัวอะไรซ่อนอยู่หรือไม่

      ในเมื่อมันดำมืดจนเกินกว่าจะเป็นจุดอับแสง เรียกได้ว่าเป็นหลุมดำมันก็ไม่น่าจะผิดเท่าไร พอเห็นจุดซ่อนตัวของเหล่าอันโนว์แล้ว คาโนะรู้สึกกลุ้มใจอย่างบอกไม่ถูกกับการที่ต้องมาระวังสิ่งที่ตามองไม่เห็น สองขาก็ก้าวเดินตามคนที่ยังคงเดินนำหน้าเขาไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง

      กึก!

      หยุดชะงักไปทันทีที่ได้เห็นว่าภาพทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ด้านนอกในตอนนี้ มันไม่ใช่ภาพของต้นเมเปิลทั้งหมด เพราะมันมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งที่ได้ปรากฏภาพทิวทัศน์ของตัวเมืองที่แสนคุ้นตา คาโนะรีบเดินเข้าไปใกล้บานหน้าต่างนั่นโดยไม่ทันระวัง ทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น

      หมับ!

      คอเสื้อถูกคว้าเอาไว้ได้ก่อนจะเดินไปถึงที่หมาย แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขาไม่ถูกอันโนว์กินเอาได้ เตรียมหันไปเอ่ยคำขอบคุณที่ช่วยเขาเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรออกไป คนที่ดึงคอเสื้อเขาเอาไว้ อยู่ๆ ก็ปล่อยมือออก แล้วพุ่งไปยังเก้าอี้ใต้หน้าต่างที่เขาเห็นภาพทิวทัศน์ต่างออกไปโดยทันที

      “หึๆ”

      พอไปยืนอยู่หน้าอันโนว์ตัวนั้น รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะฟังดูไม่น่าไว้ใจดังขึ้น ยามแรกที่ได้ยินก็เผลอคิดไปว่าเสียงนั้น มันอาจจะมาจากเจ้าลูกกลมๆ นั้นก็เป็นได้ แต่พอหาที่มาของต้นเสียงนั่นให้ดี คาโนะถึงได้รู้ว่าสิ่งที่คิดเอาไว้นั่นผิด เพราะที่มาของเสียงหัวเราะนั่น มันก็มาจากคนที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่นั่นแหละ

      “สวัสดีและลาก่อนครับ” ก่อนว่าออกมาแบบนั้นแล้วจับอันโนว์ผู้น่าสงสารโยนออกบานหน้าต่างไป คาโนะถึงกับปิดเงียบนิ่งเงียบ ไม่กล้าออกความเห็นใดทั้งสิ้น แล้วยิ่งต้องปิดปากเงียบกว่าเก่า หลังได้เห็นแววตาของคุเรฮะที่ได้หันกลับมามอง

      “จำเอาไว้เลยนะครับ สิ่งที่เห็นอยู่นอกหน้าต่างนั่น จะยังคงเป็นแค่ต้นเมเปิลอยู่แบบนั้น จนกว่ารถไฟจะวิ่งไปถึงสถานีจัตุรัสยามเที่ยงคืน” ด้วยคำพูดนี้ พอทำให้รู้ไปได้ว่ารถไฟขบวนนี้ไม่ได้วิ่งอยู่ตลอดไป แต่มันยังมีจอดอยู่บ้างแม้ชื่อสถานีที่ได้ยิน มันให้ความรู้สึกว่าไม่น่าจะมีอยู่จริงเลยก็ตาม

      “ยังไงก็ตาม จนกว่ามันจะไปถึงสถานีปลายทาง พวกเราต้องไปให้ถึงตู้โดยสารที่คุณขึ้นมาก่อนครับ” เข้าใจได้แล้วว่าที่หมายของพวกเขาคือที่ไหน คาโนะพยักหน้ารับเป็นการรับรู้ได้ไม่นาน คำถามก็ได้ถูกกล่าวถามออกมา

      “แล้วคุเรฮะรู้เหรอ ว่าตู้โดยสารไหนที่ฉันขึ้นมา”

      กึก!

      สิ้นคำถามนี้ไป คนเดินนำถึงกับชะงักอย่างกะทันหัน ทำเอาคนที่เดินตามหลังมาอย่างคาโนะ แทบจะชนอีกฝ่าย ดีที่หยุดฝีเท้าเอาไว้ได้ทัน เหตุการณ์เหล่านั้นถึงได้ไม่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นแทน

      “ไม่รู้ครับ...” สัมผัสได้ว่าอารมณ์ของคนตรงหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก ทั้งที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ก็ตาม คาโนะเริ่มสังหรณ์ใจว่าอาจจะมีอันตรายแต่ไม่ถึงกับชีวิตเกิดขึ้น สองเขาถึงได้เผลอก้าวถอยไปหลังโดยอัตโนมัติ ปากก็ปิดเงียบ ไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรออกไป

      “เพราะฉะนั้น... คนที่ควรนำ ก็น่าจะเป็นคุณนะครับ” ต่อให้สิ่งที่คุเรฮะพูดออกมาจะฟังดูสมเหตุสมผลดีก็ตาม ถ้าไม่ติดปัญหาใหญ่อยู่หนึ่งเรื่อง เขาก็พร้อมที่จะรับทำหน้าที่นั่นแต่โดยดีไปแล้ว ไม่คิดพูดอะไรที่ฟังดูขัดใจอีกฝ่ายออกไปเหมือนที่ทำอยู่ในตอนนี้หรอก

      ขอโทษนะ แต่ฉันจำไม่ได้เสียแล้วล่ะ” กล่าวออกไปจบ บนใบหน้าฉีกรอยยิ้มขึ้นกว้างอย่างหวังว่ามันจะช่วยทำให้อารมณ์ของอีกฝ่ายสงบลงบ้าง แต่เหมือนจะไม่ได้ผล

      “หึๆ งั้นเหรอครับ”

      ผัวะ!

      ถ้าฟังแค่คำพูด มันก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธอะไรกันอยู่เลยก็เถอะ แต่ถ้าดูจากการกระทำที่หลังกล่าวจบก็ชกหน้าเขามาเต็มแรงโดยทันทีแบบนี้ นั่นแสดงให้เห็นเลยว่าคงจะโกรธเป็นอย่างมากแน่นอน มือก็ยกขึ้นกุมที่แก้มตัวเองเอาไว้ ปากก็เหมือนจะได้รสชาติของเลือด ท่าทางด้วยแรงชกเมื่อสักครู่ คงจะทำให้เขาปากแตก

      แต่ต่อให้โดนทำร้ายร่างกายกัน คาโนะกลับไม่นึกโกรธอะไรคุเรฮะเลย ในทางกลับกันยังเงยหน้าขึ้น มองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาแสดงความขอโทษออกไปอีก

      “เฮ้อ... เข้าใจแล้วครับ ผมจะช่วยคุณเอง แต่ระหว่างนี้ก็อย่าลืมตอบคำถามผมด้วยล่ะ เพราะถ้าคุณเคลียร์ไม่ได้ทุกเงื่อนไข ผมก็มอบคำตัดสินให้คุณไม่ได้หรอก” ดูเหมือนพอคุเรฮะได้ออกแรง อารมณ์ก็เหมือนจะดีขึ้น อีกฝ่ายถึงได้ว่าออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงฟังดูเหนื่อยใจ

      “เข้าใจแล้ว” พอเห็นว่าคุเรฮะอารมณ์ดี ก็เผลอที่จะตอบรับออกไปแบบนั้นโดยไม่ทันคิดมากอะไร กว่าจะมารู้สึกตัวว่าได้เผลอขานรับเรื่องอะไรออกไป มันก็หลังจากที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไปจนจบแล้วนั่นแหละ คาโนะถึงกับนิ่งชะงักไปในทันทีหลังรู้สึกตัว

      ...เผลอรับปากออกไปทั้งที่ไม่เข้าใจเสียแล้วสิ...

      ได้แต่คิดแบบนั้นอยู่ภายในใจโดยไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรออกไป เพราะพอเห็นสายตาที่ตวัดมองมาของคุเรฮะเข้า ตัดสินใจปิดปากเงียบ ดูจะเป็นการรักษาตัวให้รอดจากการโดนทำร้ายร่างกายได้ดีที่สุดแล้ว คาโนะถึงได้ไม่ถามอะไรออกไป

      แล้วมานึกสรุปอยู่ภายในใจเอาเองว่าเงื่อนไขที่พูดถึง คงจะหมายถึงทั้งสามข้อที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้และเขาก็สามารถเคลียร์ไปได้สองข้อแล้วด้วย เหลืออีกเพียงหนึ่งที่ต้องหาคำตอบที่ถูกต้องให้ได้ ส่วนคำตัดสินที่คุเรฮะพูดถึง เมื่อถึงเวลาเขาก็คงจะรู้ได้เอง

      ได้ข้อสรุปออกมาแบบนั้นก็เลิกคิดมากไป แล้วหันกลับมาความสนใจถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้แทน แต่เมื่อความสนใจได้คืนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง คาโนะก็พึ่งรู้สึกตัวได้ว่าเบื้องหน้าพวกเขาขณะนี้ ได้มีอันโนว์ยืนขวางอยู่เต็มไปหมด

      ทำให้ไม่สามารถเดินผ่านไปยังตู้โดยสารถัดไปได้เลย และด้วยจำนวนของมันที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ คาโนะรู้สึกว่าคุเรฮะคงไม่สามารถรับมือกับมันได้ตามลำพังอย่างแน่นอน ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นอยู่เป็นประจำ มันถึงได้เริ่มจางลงจนแทบจะหายไป

      “ท่าทางตู้โดยสารที่คุณขึ้นมา คงจะเป็นตู้โดยสารถัดไปนี้แหละครับ” คำบอกกล่าวที่ฟังแล้วไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่นิดเดียว คาโนะยิ้มรับแม้มันจะดูฝืนปั้นแต่งก็ตาม สายตาได้แต่จับจ้องตรงไปเบื้องหน้า เห็นเหล่าอันโนว์หรือในความคิดของเขา ก็คือตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่นขวางทางเดินอยู่เต็มไปหมด

      ถ้ามันคิดพุ่งเข้ามาจู่โจมพวกเขาเมื่อไร คาดว่าคงโดนทับจนจมหายไปเลยอย่างแน่นอน แต่จะย้อนกลับไปทางเก่า ก็ดูไม่ใช่ความคิดที่ดีเช่นกัน เพราะเบื้องหลังของพวกเขาเอง ก็มีพวกมันปรากฏอยู่เต็มไปหมด สภาพการณ์ของพวกเขาในตอนนี้

      เรียกได้ว่าโดนล้อมหน้าล้อมหลังโดยสมบูรณ์แล้ว มีแต่จะต้องฝ่าออกมาไปอย่างเดียวเท่านั้น คุเรฮะเองก็เหมือนจะมีความคิดเช่นเดียวกันเขา อีกฝ่ายถึงได้เหล่มามองเขาด้วยสายตาแสดงความหนักใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะต่อให้รู้ว่าควรทำยังไงในสถานการณ์เช่นนี้ แต่การลงมือทำจริงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย

      “ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้สนใจคุณกันนัก” ก่อนจะเอ่ยถามออกมา ด้วยคำถามที่ฟังแล้วคาดว่าคงไม่ต้องการคำตอบจากเขา เพราะหลังว่าออกมาจบ คุเรฮะก็ไม่ได้หันกลับมาสนใจเขาอีกเลย นอกจากมองสลับไปทางด้านหลังและด้านหน้า คอยสังเกตว่าพวกอันโนว์จะบุกโจมตีเข้ามาเมื่อไรแทน

      “ไม่รู้เหมือนกัน แล้วตามปกติแล้ว มันไม่เป็นแบบนี้เหรอ” ก็ยังคงถามได้อย่างใจเย็น ทั้งที่สถานการณ์ในขณะนี้เริ่มตึงเครียดเข้าไปทุกขณะ เหล่าอันโนว์ที่ดูเหมือนตุ๊กตาที่ไม่น่าจะมีอันตรายใด มาตอนนี้คาโนะเริ่มเข้าใจได้แล้วว่าทำไมถึงได้โดนเตือนว่าจะถูกกิน

      เพราะสภาพของพวกมันในขณะนี้ ได้อ้าปากขึ้นกว้างจนเห็นฟันแหลมคมที่ปรากฏอยู่เต็มปาก มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเห็นปากของฉลามไม่มีผิด งานนี้คาโนะเริ่มนึกกลัวขึ้นมาอย่างจริงจังเสียแล้ว หลังได้เห็นอันตรายปรากฏให้เห็นกันเสียขนาดนี้

      “ไม่เลยครับ ที่ผ่านมาก็มีคนแบบคุณหลงเข้ามา แต่เจ้าพวกนี้แค่โผล่มาทักทายกันเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น จำนวนที่มากขนาดนี้ ผมยังไม่เคยเห็น” สรุปแล้วว่าตัวเขาอาจจะดวงซวยเองก็เป็นได้ เขาถึงได้มาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้เข้า คำตอบรับจึงมีเพียงรอยยิ้มแล้วรีบก้มหัวหลบโดยทันที

      เมื่ออันโนว์หลายสิบตัวที่เอาแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เริ่มกระโจนเข้าใส่กันให้วุ่นวายไปหมด จนเขาแทบวิ่งหลบไปมาอย่างไม่รู้ทิศแล้วว่ากำลังมุ่งตรงไปด้านหน้า หรือว่ากำลังถอยหลบกลับไปทางด้านหลังอยู่กันแน่ สิ่งเดียวที่รู้ก็คือต้องพยามหลบฟันอันแหลมคมของเจ้าพวกนี้ไปให้ได้เท่านั้น

      แล้วในช่วงที่เอาแต่หลบปากที่พุ่งเข้ามาหมายกัดเขาเป็นที่วุ่นวายกันอยู่ ราวกับได้เห็นสีแดงผ่านเข้ามาในสายต่อ ก่อนข้อมือของเขาจะถูกคว้าเอาไว้มั่น

      หมับ!

      พอมองให้ชัดเต็มตา คาโนะถึงได้รู้ว่ามือที่มาคว้าเอาไว้ เป็นมือของคุเรฮะนั่นเอง อีกฝ่ายไม่ได้พูดว่าอะไรออกมาสักคำ นอกจากกระชากให้เขาวิ่งตามออกไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว หลบหลีกความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบกายได้อย่างสบายๆ ทำให้เขาไม่ได้รับอันตรายใดทั้งสิ้น

      ต่อให้ตลอดทางที่วิ่งตรงไป จะมีอยู่หลายครั้งเลยก็ตามที่เขาเกือบจะถูกกัดเข้าให้แล้วก็เถอะ แต่เพราะได้คุเรฮะช่วยเอาไว้ทุกครั้ง เขาถึงไม่ได้รับบาดแผลใดเลยทั้งสิ้น ในใจรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจนอยากจะกล่าวบอกออกไป ทว่าในช่วงเวลานี้มันไม่สมควรกระทำ

      เพราะสิ่งที่เขาต้องทำ ก็คือการหนีเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ คิดในใจกับตัวเองแบบนั้นด้วยความมุ่งมั่น สองขาออกตัววิ่งไปอย่างสุดกำลัง ใจก็ได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมระยะทางเพียงนิดเดียว พวกเขาถึงได้ใช้เวลานานนัก ในการวิ่งฝ่าไปอีกตู้โดยสารหนึ่ง

      ก่อนเลิกคิดถึงเรื่องเหล่านั้นไป หลังได้เห็นปลายทางแล้ว กำลังใจมีมากขึ้นเมื่อได้เห็นที่หมาย สองขายิ่งออกแร่งวิ่งให้เร็วมากขึ้นไปอีก โดยไม่ลืมที่จะระวังตัว ไม่ให้อันโนว์ที่พุ่งไปมาอยู่โดยรอบเข้ามากัดเอาได้ แต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

      ตุบ...

      อีกเพียงนิดเดียวก็จะผ่านประตูไปสู่ตู้โดยสารถัดไปได้แล้ว ขากลับไปสะดุดเข้ากลับอันโนว์ตัวหนึ่งที่ขวางทางเข้าอยู่พอดี ทำให้เขาล้มไปนอนราบกับพื้น แล้วพอจะลุกขึ้นยืน ปรากฏว่าเหล่าอันโนว์ที่กระโจนไปมาอย่างไร้ทิศทางที่แน่ชัด กำลังพุ่งตรงมาทางเขาพร้อมกันทั้งหมด!

      ...แย่แล้ว!...

      ยกมือขึ้นป้องหน้าตัวเอง อย่างไม่กล้าดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า ทว่าแทนที่สิ่งที่สัมผัสได้ จะเป็นน้ำหนักจำนวนมากหรือไม่ก็คมฟันจำนวนนับสิบกัดลงมาบนผิวกายเขา สิ่งที่สัมผัสได้กลับกลายเป็นแรงดึงที่คอเสื้ออย่างแรงจนแทบหายใจไม่ออก ก่อนร่างของเขาจะถูกเหวี่ยงผ่านบานประตูไป

      ตุบ!

      คาโนะรีบเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทันทีก็ถึงกับเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้าง ปากอ้าค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเต็มสองตา ทว่าคนโดนจ้องกลับทำทีเป็นไม่ใส่ใจแล้วกระชากอันโนว์ที่งับแขนตัวเองทิ้งอย่างแรงพร้อมโยนกลับเข้าไปอีกตู้โดยสาร และตกท้ายด้วยการปิดบานประตูเสียงดัง

      ปัง!

      บานประตูปิดลงแล้ว พวกที่เกือบจะกินเขาก็ยังคงอยู่หลังบานประตูบานนั้น ส่วนคนที่ช่วยเขาเอาไว้ ดูจะบาดเจ็บหนักเพราะเลือดสีแดงสด ไหลรินออกมาจากไม่ขาดสาย แม้จะมองเห็นบาดแผลได้ไม่ชัด แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงจะลึกน่าดู

      “คุเรฮะ”

      “เดี๋ยวก็หายครับ”

      เตรียมบอกให้รีบทำแผล แต่อีกฝ่ายกลับว่าปัดอย่างไม่ใส่ใจแล้วเลือกปล่อยมันทิ้งเอาไว้แบบนั้น คาโนะถึงกับหน้าซีดหนักเข้าไปกันใหญ่ เมื่อได้เห็นการกระทำที่ดูจะไม่ใส่ใจสภาพตัวเองของอีกฝ่ายเข้า เขาถึงได้รุกเข้าไปดูอาการใกล้ๆ โดยไม่คิดสนใจสายตาที่จ้องตรงมาอย่างกดดัน

      “นี่มัน...” แต่พอได้เห็นบาดแผลของอีกฝ่าย แทนที่จะตกใจเพราะสภาพของบาดแผลนั่นอาจจะดูไม่ได้ กลับกลายเป็นความอึ้งไปแทนเมื่อสิ่งที่เห็น มันตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย แทนที่จะเห็นเลือดสีแดงจำนวนมากรินไหลออกมากับเนื้อที่ฉีกขาดอย่างดูไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขา มันยังคงเป็นแขนที่ดูปกติดีทุกอย่าง

      แล้วยิ่งได้สัมผัสกับแขนของอีกฝ่าย ความคิดที่ว่าคุเรฮะคือตุ๊กตา ได้คืนกลับมาอีกครั้ง เมื่อผิวที่สัมผัสนั่นแข็งและเย็น ไม่มีความนุ่มและอบอุ่นอยู่เลย

      “สิ่งที่เห็น มันเป็นภาพที่ใจคุณสร้างขึ้น ในโลกนี้ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี จะโดนอันโนว์ล่อหลอกเอาได้ครับ” ได้รับคำกล่าวเตือนด้วยความหวังดีจบ คุเรฮะเดินเลยผ่านตัวเขาไปหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูและยืนนิ่ง ราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง

      แต่คาโนะกลับไม่ได้รู้สึกสนใจในจุดนั้นเลย ในทางกลับกันสิ่งที่เขานึกสน มันกลับกลายเป็นสีแดงต่างหาก แล้วอยู่ๆ คำถามที่เคยได้รับมาจากคุเรฮะก็ผุดขึ้นมาภายในหัว พาทำให้เขารู้สึกว่าคำตอบของคำถามนั่น อาจจะหมายถึงเลือดก็เป็นได้ ทว่าอีกใจก็ดันนึกแย้งกลับมาเสียก่อน

      ...ไม่ใช่...

      “ถึงแล้ว”

      ขณะใจนึกสับสนกับตัวเองอยู่ เสียงของคุเรฮะได้ดังปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์และกลับมาสนใจความเป็นจริงอีกครั้ง เขาก็พึ่งสังเกตได้ว่ารถไฟที่ให้ความรู้สึกว่ากำลังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ได้หยุดลงแล้วและบานประตูที่ปิดสนิทมาโดยตลอด ได้เปิดออกเผยให้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แตกต่างจากบานหน้าต่างโดยสิ้นเชิง

      เพราะมันไม่ใช่ลานกว้างที่เต็มไปด้วยใบไม้สามแฉกสีแดง แต่เป็นทางแยกของถนนสายหนึ่งที่เต็มไปด้วยเหล่าผู้คน รอบด้านก็มีตึกขนาดต่างๆ ขึ้นรายล้อม แค่มองดูก็รู้แล้วว่ามันคือตัวเมือง ไม่น่าจะมีสิ่งผิดแปลกอะไรถ้าหากผู้คนที่เห็นอยู่ ไม่ได้หยุดนิ่งในท่วงท่าต่างๆ ล่ะน่ะ...

      “คุณเองก็ไม่ใช่คนที่ผมตามหาสินะครับ เพราะปลายทางของสถานีไม่ใช่จัตุรัสยามเที่ยงคืนแต่เป็นสถานีกาลเวลา” ความสนใจกลับมาอยู่ที่คนข้างตัวเมื่อได้ยินประโยคคำพูดเหล่านั้น แต่สิ่งที่เรียกความสนใจเขาได้จริงๆ มันคงจะเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูผิดหวังเสียมากกว่า

      “เอาล่ะ ถึงเวลาที่คุณจะต้องตอบคำถามของผมแล้ว ส่วนคำใบ้ก็น่าจะได้รับไปแล้วใช่ไหมครับ” บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่มองแล้ว มันกลับให้ความรู้สึกเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เอ่ยออกมา ก็ได้ทวงถึงสิ่งที่ได้เอ่ยถามเขาเอาไว้ตั้งแต่ต้น

      “คำใบ้เหรอ...” แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีเมื่อครั้งแรก ในทางกลับกันเขายังคงนึกถึงคำใบ้ที่ตัวเองได้รับมาตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้อย่างหนัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันอาจจะเป็นคำใบ้ที่คุเรฮะพูดถึงก็เป็นได้ เขาถึงได้ตัดสินใจตอบออกไป

      “เลือด” พอตอบออกไปจบ สีหน้าที่ปรากฏนั่นดูผิดหวัง รอยยิ้มเองก็ไม่ต่างอะไรจากสีหน้า ล่วงรู้ได้ในทันทีว่าคำตอบของเขานั่นมันผิด

      “คำถามสุดท้ายก่อนมอบคำตัดสิน ถ้าหาก... ได้เห็นตัวเองที่กำลังจะตาย คุณจะทำยังไง” กล่าวจบก็มองออกไปด้านนอกโดยทันที และพอได้ยินคำพูดเหล่านั้น คาโนะหันไปสังเกตเหล่าผู้คนที่กำลังเดินข้ามถนนให้ดีอีกครั้ง

      พบว่าในเหล่าบรรดาจำนวนคนที่มากมายกำลังรอข้ามถนนไปอีกฝั่งกันอยู่ มีตัวเขายืนอยู่กับคนจำนวนเหล่านั้นด้วย แต่ท่าทางของตัวเขาที่เห็นอยู่นั่น เหมือนกำลังสะดุดอะไรบางอย่างจนเกือบจะล้มออกไปบนถนนที่มีรถกำลังวิ่งผ่านมาพอดี

      “กำลังจะตายงั้นเหรอ...”

      “ใช่”

      เอ่ยถามกับตัวเองออกมาเสียงแผ่ว ไม่ได้คิดอยากจะรับฟังคำตอบจากใคร แต่คนข้างตัวเหมือนจะไม่เข้าใจหรือว่าเข้าใจดี และแค่ต้องการตอกย้ำกันเฉยๆ ถึงได้เอ่ยตอบรับกลับมา

      คาโนะนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้มองภาพตรงหน้าที่ราวกับถูกหยุดช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตายเอาไว้ เริ่มดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ประกายสดใสที่ดูตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเจอได้จางหายไปแต่ไม่จนหมด ใบหน้าที่ควรโศกเศร้า ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเบาบาง พร้อมเอ่ยคำตอบรับที่อีกฝ่ายต้องการออกไป

      “อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดล่ะน่ะ” สำหรับคุเรฮะแล้ว มันอาจเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายก็เป็นได้ สังเกตได้จากสีหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังแปลกใจกับคำตอบของเขาอยู่ คาโนะถึงได้รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปให้อีกฝ่ายรับฟังมากกว่านี้

      “ถ้าเปลวไฟแห่งชีวิตของฉันมันกำลังจะดับลง ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เพราะฉันไม่มีพลังพิเศษอะไร ที่จะไปหยุดไม่ให้มันเกิดขึ้นหรือว่าหลีกหนีมันได้” ยิ่งพูดออกไป ก็เหมือนจะได้รับสีหน้าแสดงความไม่เชื่อตอบกลับมาเท่านั้น จากที่พยายามฝืนยิ้ม เขาถึงได้เริ่มยิ้มออกมาได้มากขึ้น

      “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะสุดๆ ฝ่ายผู้รับฟังถึงกับทำหน้าบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมเอ่ยตอบกลับมาแต่โดยดี ไม่มีการใช้กำลังอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น

      “ตามปกติแล้ว ถ้าเดินทางผ่านข้ามกาลเวลามายังอนาคต และได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย คนปกติเขาต้องพยายามหยุดไม่ให้เกิดขึ้นกันนะครับ” ราวกับเป็นการให้คำแนะนำเสียมากกว่าต่อว่า คาโนะยังคงยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสบายใจได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ได้ล่วงรู้แล้วว่าตัวเองกำลังจะตาย

      “ก็นะ ต่อให้พูดดูดียังไง ฉันเองก็ยังกลัวความตายอยู่เหมือนกัน” ยอมรับสารภาพออกไปตามตรงว่ากลัว แล้วรีบว่าออกมาต่อ ก่อนที่คุเรฮะจะได้ทันพูดอะไรออกมา

      “แต่ถ้าเอาแต่กลุ้มใจอยู่แบบนี้ ปัจจุบันมันก็พังกันหมดพอดีน่ะสิ” สัมผัสได้ว่าคุเรฮะอึ้งไปอยู่ครู่ใหญ่ แม้ท่าทางภายนอกจะดูปกติดีก็ตาม ก่อนอีกฝ่ายจะหันหน้าไปทางบานประตูแล้วเอ่ยพูดอะไรบางอย่างที่ฟังแล้ว เหมือนไม่ได้คุยอยู่กับเขาออกมา

      “รถไฟขบวนนี้มีปลายทางเดียวคือสถานีจัตุรัสยามเที่ยงคืน แต่ว่า... ก็ใช่ว่าจะไม่หยุดลงที่สถานีอื่นเลย” เหมือนบอกอยู่กับตัวเอง แต่ก็เหมือนจะบอกให้เขารับรู้ด้วยเช่นกัน ระหว่างนั้นก็เห็นคุเรฮะทำท่าจะเดินออกไป

      “และเมื่อใดก็ตามที่รถไฟสายนี้ได้หยุดลงที่สถานีอื่น ก็มีโอกาสที่จะจุดหรือดับเปลวเพลิงแห่งชีวิตของผู้ที่จะลงสถานีนี้ได้เช่นกัน” หลังว่าประโยคนี้ออกมาจบ คุเรฮะหันหน้ากลับมามองทางเขาและส่งยิ้มให้ ยิ้มที่ดูแตกต่างจากครั้งแรกที่ได้พบเจอ เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน

      “ถึงจะน่าเสียดายก็ตามที่สถานีนี้ไม่ใช่จัตุรัสยามเที่ยงคืน แต่... จะยอมช่วยก็แล้วกัน” กล่าวจบ คุเรฮะก็ก้าวออกไปนอกบานประตูทันที สร้างความตกใจให้กับคาโนะอยู่ไม่น้อย เพราะนอกบานประตูออกไป ต่อให้ภาพที่เห็นจะเป็นตัวเมืองก็ตาม ทว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในยามนี้ มันคือบนท้องฟ้าสูง หากออกไปมันก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย

      ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น สองมือยื่นออกไปหมายคว้าตัวอีกฝ่ายที่ก้าวออกนอกบานประตูไปแล้วให้กลับเข้ามาด้านใน แต่นอกจากจะไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ได้แล้ว ตัวเขายังเอนออกไปนอกบานประตูอีกด้วย สรุปแล้วตัวเขาก็ออกมาด้านนอกของรถไฟด้วยคน หรือถ้าพูดให้ถูก... เขาเองก็กำลังจะตกจากที่สูงเช่นกัน!

      ตุบ...

      แต่แล้วกลับไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น สองเท้าของเขายังคงเหยียบย้ำอยู่บนพื้นดิน ไม่ได้เหยียบความว่างเปล่าอยู่ เปลือกตาที่ปิดลงแน่น อย่างไม่คิดดูว่าตัวเองจะตกลงไปตายท่าไหน ลืมขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเต็มสองตา เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนพื้นอย่างแน่นอน ไม่ได้อยู่ในสภาพที่กำลังดิ่งลงมาจากที่สูงแต่อย่างใด

      “เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หลังได้รู้แล้วว่าตัวเองยังปลอดภัยดีทุกอย่าง ทำให้ไม่ทันรู้สึกตัวถึงสภาพโดยรอบในทันที แต่พอโล่งอกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนสามารถกลับมาสนใจสภาพรอบตัวได้ คาโนะถึงกับนึกงงไปว่าทำไมผู้คนที่เคยหยุดนิ่ง ได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

      ราวกับว่าช่วงเวลาที่ถูกหยุดเอาไว้ ได้กลับมาเดินอีกครั้ง คาโนะรีบยกนาฬิกาข้อมือตัวเองขึ้นมาดูโดยทันทีว่าตัวเองกลับมาที่โลกเดิมของตัวเองแล้วหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ มันยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เข็มทั้งสามของนาฬิกายังคงไม่เคลื่อนไหว

      นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวเขายังไม่หลุดพ้นจากสถานการณ์เหนือธรรมชาตินี้แต่อย่างใด เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองยังไม่ได้กลับไป สายตาก็เริ่มกวาดมองหาคุเรฮะที่รุกหน้ามาก่อนเขาโดยทันที ก็พบว่าคนที่กำลังหาตัวอยู่ รีบเดินตรงไปยังกลุ่มผู้คนจำนวนมากที่กำลังรอข้ามถนนกันอยู่

      คาโนะเตรียมวิ่งตามคุเรฮะโดยทันที แต่เพียงออกเท้าก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มันคุ้นเคยได้อย่างน่าประหลาด จากที่ตั้งใจว่าจะวิ่งตามอีกฝ่ายไป ก็กลายเป็นหยุดยืนอยู่กับที่ แล้วกวาดสายตามองไปรอบตัวโดยทันที

      “ที่นี่...” พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา เขาคิดว่าตัวเองต้องรู้จักสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน แล้วต้องเคยมาหลายครั้งแล้วเดียว เพียงแต่ไม่สามารถนึกออกได้ในทันทีว่ามันคือที่ไหน บางทีปัจจุบันตัวเขาอาจจะไม่ได้มายังสถานที่แห่งนี้แล้วก็เป็นได้

      ขณะจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปแบบนั้น ได้ยินเสียงรถกำลังวิ่งตรงมา ความสนใจทั้งหมดถูกเรียกกลับมายังสถานการณ์ปัจจุบันโดยทันที เขาก็พบว่าตรงสี่แยกที่มีผู้คนกำลังข้ามถนนกันอยู่นั่น ทุกคนหยุดยืนแล้วมองไปที่สัญญาณไฟ

      ไม่มีใครสักคนทันสังเกตเห็นถึงเด็กหนุ่ม หรือก็คือตัวเขาเองกำลังพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และถ้าไม่มีใครสังเกตเห็นในเร็วนี้ ตัวเขาจะต้องถูกรถที่กำลังพุ่งมาอย่างแรงชนเข้าอย่างแน่นอน นึกอยากจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ร่างกายกลับนิ่งแข็งอย่างไม่อาจก้าวเท้าออกไปได้

      สิ่งเดียวที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ คือการยืนมองตัวเองที่กำลังถูกรถชนตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า แต่ก่อนจะได้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ร่างที่กำลังพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเร็วได้ถูกมือที่ขาวซีดของใครบางคนคว้าเอาไว้ได้อย่างท่วงที และดึงกลับเข้ามายืนอยู่ในสถานที่ปลอดภัย

      เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีใครมองตามทัน ทว่ามันกลับทำให้เขาฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ หลังได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จนไม่ทันรู้สึกตัวว่าคนที่หายไปก่อนหน้านี้ ได้เดินกลับมาหาเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่เพราะเขายังเอาแต่จมอยู่ในห้วงความคิด คาโนะถึงได้ไม่รู้สึกตัวเลยว่าตรงหน้ามีคนมายืนอยู่

      ผัวะ!

      แทนการเรียกคือการตบหัวอย่างแรงจนแทบจะล้มไปนอนราบกับพื้น คาโนะตื่นจากภวังค์ความคิดแล้วตวัดสายตาไปมองผู้กระทำ ทว่าสิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในสายตาเขา กลับเป็นผ้าพันคอสีแดงของอีกฝ่าย ไม่ใช่สีหน้าที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังแสดงอารมณ์แบบไหนของอีกฝ่ายอยู่

      แล้วก็ไม่คิดที่จะสนใจอีกด้วย เพราะตัวเขาในตอนนี้ นึกออกแล้วว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ไหน รวมไปถึงความรู้สึกติดใจได้อย่างน่าประหลาดนี้ก็ด้วย สายตาที่จ้องมองคุเรฮะถึงได้เอาแต่จ้องผ้าพันคออย่างไม่วางตา จนสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

      ตุบ!

      คาโนะจึงได้รับการตอบแทนถึงการกระทำที่เสียมารยาทเหล่านั้น เป็นการตบหลังที่แทบจะลิ้มกลิ้งไปเบื้องหน้า  และในครั้งนี้เขาไม่คิดที่จะนิ่งเงียบอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าถ้ายังไม่พูดอะไรออกมาสักอย่าง ตัวเขาคงจะโดนทำร้ายร่างกายไปมากกว่านี้เป็นแน่

      “รีบกลับไปกันเร็วครับ!” แต่ก็ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอธิบายถึงการกระทำของตัวเองออกไปให้คุเรฮะรับฟัง อีกฝ่ายก็ได้ว่าขัดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน แล้วลากเขาออกวิ่งไปพร้อมกัน นึกสงสัยไปในทันทีว่าพวกเขากำลังตรงไปที่ไหน แต่พอเห็นว่าปลายทางที่กำลังมุ่งตรงไปเป็นทางรถไฟใต้ดิน

      คาโนะไม่พูดอะไรออกมาอีก นอกจากตามคุเรฮะไปเรื่อยๆ จนในตอนนี้ พวกเขาได้มาหยุดลงอยู่หน้าชานชาลาแห่งหนึ่ง สร้างความสงสัยให้อยู่ไม่น้อยว่าอีกฝ่ายจะพาเขาไปที่ไหน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม รถไฟได้มาจอดลงตรงหน้าพร้อมกับแรงดึงที่รีบกระชากตัวเขาให้เข้าไปด้านใน

      ปัง...

      สรุปแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ นอกจากถูกลากให้เข้ามาในรถไฟสายอะไรก็ไม่รู้พร้อมกันจบ ทุกสิ่งที่นึกอยากจะกล่าวออกไป ก็เตรียมจะเอ่ยพูดออกไปในทันที แต่พอได้เห็นว่าตัวเองมาหยุดลงอยู่ที่ไหน ถ้อยคำทั้งหลายก็ดูจะหายไปหมดสิ้น

      “กลับมาแล้วสินะ”

      “ใช่ครับ”

      ถามออกไปลอยๆ ด้วยความไม่มั่นใจว่าตัวเองได้กลับมาแล้วจริง แต่เหมือนคุเรฮะไม่ต้องการรอให้เขาคิดได้เอง อีกฝ่ายถึงได้เอ่ยตอบกลับมาแทบจะในทันที เขาถึงรู้สึกตัวได้ในที่สุดว่าพวกเขา ได้กลับขึ้นมาบนรถไฟที่ไม่ธรรมดานี้อีกครั้งแล้ว

      “เมื่อกี้นี้คุเรฮะช่วยฉันเอาไว้สินะ” ก่อนจะเอ่ยถามอกไปด้วยท่าทางเหม่อลอย คล้ายยังไม่สามารถเรียกสติตัวเองให้คืนกลับมาได้

      “ใช่แล้วครับ” คำตอบที่ได้รับกลับมา ฟังจากน้ำเสียงแล้ว พอจะเดาได้ว่าคนตอบเริ่มไม่พอใจ แต่ต่อให้สัมผัสได้แบบนั้น คาโนะก็ยังเหมือนจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้อย่างไม่ครบถ้วนเสียเท่าไรนัก คำถามที่ฟังแล้วไม่สมควรถาม มันถึงได้ถูกถามออกไปอีกครั้ง

      “เมื่อกี้พวกเราได้ย้อนอดีตกันสินะครับ”

      !?

      แต่พอสิ้นคำถามนี้ไป มีเพียงความเงียบตอบรับกลับมาเท่านั้น คาโนะยังคงไม่สังเกตเห็นว่าท่าทางของคุเรฮะในตอนนี้ดูตกใจขนาดไหน เขายังคงพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดทั้งหมด และรวมไปถึงสิ่งที่พึ่งนึกได้ก่อนหน้าจะถูกลากให้กลับมาขึ้นรถไฟแสนแปลกนี้ด้วยกัน

      “เป็นอย่างนี้เอง...” แล้วก็ได้ข้อสรุปออกมาในที่สุด แต่กับคุเรฮะแล้วคงจะตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง สังเกตได้จากสีหน้าที่เริ่มดูมึนงงมากเข้าไปทุกขณะ บางทีเขาคงจะต้องอธิบายออกไป ให้อีกฝ่ายได้เข้าใจอย่างชัดเจนเสียก่อนที่จะได้กล่าวถ้อยคำหนึ่งออกไป

      “ตอนที่ได้เห็นครั้งแรก ก็คิดว่ามันเป็นอนาคตอยู่หรอก แต่... มันเป็นอดีตน่ะ เกิดขึ้นเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว” พอเขาเริ่มเปิดปากอธิบาย สีหน้าของคุเรฮะจากที่ดูฉงน ไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไรในตอนแรก เริ่มผ่อนคลายลงแล้วทำตัวกลับมาเป็นปกติในที่สุด ก่อนจะกลายเป็นเลิกคิ้วขึ้นสูง ทันทีที่เขาได้กล่าวถ้อยคำนี้ออกไป

      “ขอบคุณนะ” ว่าออกไปจบ ได้รับสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจจากคุเรฮะตอบกลับมาในทันที รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำอธิบาย แต่ต่อให้รับรู้ได้เช่นนั้นก็ตาม เขากลับเลือกที่จะว่าออกไปถึงอีกเรื่องแทน

      “คุเรฮะ ช่วยถามคำถามที่เป็นเงื่อนไขข้อสุดท้ายอีกรอบได้ไหม” เอ่ยร้องขอในสิ่งที่คุเรฮะฟังแล้ว มันคงจะเป็นคำขอที่แปลกประหลาดออกไป แต่ต่อให้ใจรับรู้ได้เช่นนั้น คาโนะยังคงไม่คิดอธิบายอะไรออกไปเพิ่มเติม นอกจากจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง อย่างเป็นการขอร้องให้ช่วยทำตาม

      “คุณคิดว่าสีแดงเป็นตัวแทนของอะไร”

      “ฮีโร่”

      ในครั้งนี้เขาสามารถเอ่ยตอบกลับไปได้แทบจะในทันที แม้คำตอบที่ได้กล่าวออกไปนั่น คงจะสร้างความสงสัยให้อยู่ไม่น้อย สังเกตได้จากสีหน้าที่ปรากฏแต่เครื่องหมายคำถามของอีกฝ่าย คาโนะก็รู้ได้แล้วว่าครั้งนี้เขาควรจะอธิบายให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ

      “ในตอนนั้นที่ฉันถูกช่วยเอาไว้ ยังไม่ทันจะได้กล่าวคำขอบคุณ นายก็หายตัวไปก่อนเสียแล้ว สิ่งเดียวที่มองตามทันคือสีแดงที่ไม่แน่ใจว่าเป็นสีมาจากอะไร แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นสีของผ้าพันคอ” พอว่าอธิบายออกมาแบบนั้น ก็เหมือนจะยังไม่ช่วยสร้างความเข้าใจให้ คาโนะถึงได้ว่าเข้าประเด็น

      “ก็สีแดงน่ะ มันเป็นสีของฮีโร่นี่น่า” ให้ข้อสรุปสั้นๆ ที่ทำเอาคุเรฮะถึงกับปิดปากเงียบไปสนิท สายตาที่มองตรงมาก็ดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดอย่างเห็นได้ชัด

      “พูดจริงนะ สีแดงน่ะ มันเป็นสีของฮีโร่จริงๆ” ก็ยังคงย้ำถึงความคิดของตัวเองออกไป ครั้งนี้ปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่าย แทนการนิ่งเฉยกลายเป็นส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจไปแทน

      “คุเรฮะ!

      “เป็นคำตอบที่ไม่คาดคิดจริงๆ”

      ท่าทางที่เหมือนจะไม่เชื่อในคำพูดของเขา คาโนะถึงได้เรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปเสียงดัง แล้วหมายเตรียมจะอธิบายให้เข้าใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับว่าขัดเขาออกมาเสียก่อน การบรรยายว่าด้วยเรื่องสีแดงคือสีของฮีโร่จึงต้องพับเก็บไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วรอรับฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาอีก เพราะดูท่าทางแล้ว คงจะยังมีเรื่องพูดต่ออยู่อีก

      “แต่เอาเถอะ ถ้าสิ่งที่คุณพูดออกมาเป็นความจริง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกอันโนว์ถึงได้มีพฤติกรรมที่ผิดปกติขนาดนั้น” แล้วว่าออกมาถึงเรื่องใหม่ไปแทน คาโนะไม่ได้ถามหรือกล่าวขัดอะไรออกไป นอกจากรับฟังอย่างสงบไปด้วยความสนใจ

      “เพราะคุณคือคนที่ผมเคยต่อเปลวเพลิงแห่งชีวิตให้แล้วครั้งหนึ่งยังไงล่ะครับ เจ้าพวกนั้นถึงได้ดูตื่นเต้นกันขนาดนั้น เป็นเพราะเปลวเพลิงของคุณมันส่องสว่าง ไม่ได้กำลังจะมอดดับนี่เอง” ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก หลังฟังคำอธิบายของคุเรฮะจบ แต่ก็พอจะจับใจความไปได้ว่าตัวเขามันคงจะน่ากิน เขาถึงโดนจ้องเล่นงานเยอะเป็นพิเศษ

      “ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่... ตกลงว่าคุเรฮะคือใครกันแน่เหรอ แล้วกำลังตามหาใครอยู่น่ะ” สิ่งที่นึกสงสัยมาตั้งแต่ต้นและได้รับคำตอบอย่างขอไปทีมาแล้วครั้งหนึ่ง มายามนี้เขากลับรู้สึกว่าถ้าได้ถามซ้ำออกไปอีกครั้ง คำตอบที่ได้รับอาจจะต่างไปจากเดิม

      “คุเรฮะ...” แต่ก็อาจจะได้รับกลับมาเช่นเดิมก็เป็นได้ เมื่อประโยคแรกที่ได้ยินก็คือการเอ่ยบอกชื่อของตัวเอง

      “คุเรฮะ ผู้ตัดสินเปลวเพลิงแห่งชีวิตครับ” แล้วความคิดก็ต้องเปลี่ยนเสียใหม่ หลังได้รับฟังคำตอบที่เหลืออยู่ออกมา คาโนะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งอย่างพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่พึ่งได้ยินมา

      “คุเรฮะเป็นยมทูตงั้นเหรอ” พยายามทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้คำตอบออกมาแบบนั้น ทว่าคำตอบรับคือการส่ายหน้า แสดงว่าความเข้าใจของเขาคงจะยังไม่ถูกต้อง

      “ไม่ใช่หรอกครับ ผมน่ะ ไม่ได้เป็นตัวตนที่พรากชีวิตใครเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยต่อชีวิตให้ได้ด้วย ผมถึงได้บอกว่าเป็นผู้ตัดสินยังไงล่ะครับ” พยักหน้ารับแล้วสรุปกับตัวเองว่าคุเรฮะคือผู้ตัดสินเปลวเพลิงแห่งชีวิตไปโดยไม่คิดเอาไปเทียบกับอะไรอีกแล้ว และในระหว่างได้ข้อสรุปกับตัวเองอยู่แบบนั้น นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้รับอีกหนึ่งคำตอบ

      “แล้วอีกคำถามล่ะ”

      “ผู้ที่สามารถทำให้รถไฟขบวนนี้จอดที่สถานีจัตุรัสยามเที่ยงคืนได้ครับ” คำตอบที่ได้รับนั่น ฟังดูไม่แน่ชัดเท่าไร ราวกับว่าเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ากำลังตามหาใครอยู่ แล้วในเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่ากำลังตามหาใคร เขาก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้ นอกจากกล่าวคำอวยพร

      “ขอให้หาพบนะ” คงทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น ต่อให้ใจนึกอยากจะช่วยตามหาก็ตาม เพราะเขาได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเคยช่วงชีวิตเขาเอาไว้ครั้งหนึ่ง คาโนะถึงได้คิดอยากจะทำอะไรตอบแทนให้บ้าง

      “ขอบคุณ... แต่บางทีไม่เจอเลยน่าจะดีกว่า เพราะถ้าได้พบกัน คนคนนั้นก็ต้องมารับหน้าที่ต่อจากผม” สิ่งที่ได้รับฟัง คาโนะรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรพูดอะไรออกไปทั้งสิ้น เพราะเรื่องของอีกฝ่าย ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อยู่อีกมาก แล้วบางทีตัวเขาก็ไม่สมควรที่จะรู้ด้วย คุเรฮะถึงได้ไม่เอ่ยบอกอะไรออกมามากนัก

      “เจ้าพวกนั้นเริ่มมากันอีกแล้ว รถไฟเองก็กำลังจอดลงที่สถานีกาลเวลาอีกครั้ง” คุเรฮะถึงได้ว่าออกมาแบบนั้นโดยการเปลี่ยนเรื่องไป และสิ่งที่กล่าวบอกออกมา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สนใจก็ไม่ได้เสียด้วย คาโนะถึงได้หันไปมองรอบกาย แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดทั้งสิ้น

      สร้างความสงสัยให้อยู่ไม่น้อยว่าคุเรฮะหลอกเขาหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปถามอะไร ร่างของเขากลับถูกอีกฝ่ายผลักเข้าเสียก่อน ทำให้เสียหลักจนล้มหงายไปทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว สายตาตวัดหันกลับไปมองหน้าผู้กระทำ

      “จงชีวิตอยู่ต่อไปซะ”   

      นั่นคือคำตัดสิน ล่วงรู้ได้โดยทันทีที่ได้รับฟังจบ แล้วยังไม่ทันได้กล่าวโต้ตอบอะไรกลับไป ทุกสิ่งเหมือนถูกย้อมให้กลายเป็นสีขาวชั่วขณะ คล้ายสติการรับรู้ถูกตัดขาดออกจากความเป็นจริง และเมื่อมารู้สึกตัวอีกครั้ง สภาพแวดล้อมโดยรอบได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

      จากตู้โดยสารของขบวนรถไฟที่ไร้ซึ่งผู้คน กลายมาเป็นสถานีที่เขาหมายจะลงตั้งแต่ครั้งแรกทีก่อนเกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น รอบกายเองก็ไม่ได้ร้างผู้คนแต่อย่างใด ในทางกลับกันมันมีคนจำนวนมากกำลังเดินสวนผ่านเขาไปมา เรียกได้ว่าตัวเขาในตอนนี้ได้กลับมาสู่โลกของตัวเองแล้ว

      แต่เพื่อความมั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั่นถูกต้อง ข้อมือยกขึ้นดูนาฬิกาข้อมือตัวเองในทันที พบว่าเข็มวินาทีเริ่มเดินอีกครั้ง ไม่ได้หยุดนิ่งเหมือนตอนที่เขาได้อยู่ในขบวนรถไฟสายพอส ท่าทางเขาคงจะกลับมาแล้วจริงๆ และพอได้มายืนมองอยู่แบบนี้

      มันก็ให้ความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความฝันไปเท่านั้น ทว่าความทรงจำนั่นยังคงอยู่ รวมไปถึงเรื่องในอดีตที่เคยลืมไปแล้วครั้งหนึ่งนั้น ได้คืนกลับมา ทำให้เขารับรู้ได้ว่าทุกสิ่งที่พบเจอไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน สายตาก้มลงต่ำพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมา เปิดดูบทความที่เกี่ยวกับเรื่องเล่ารถไฟสายพอสนั้น แล้วกระซิบเอ่ยบอกกับตัวเองเสียงแผ่ว...

      “เปลี่ยนจากนักอ่าน มาเป็นนักเขียนบ้างก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”

       

      นับจากวันนั้นผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เรื่องเล่าเกี่ยวกับคุเรฮะ ผู้ตัดสินเปลวเพลิงแห่งชีวิต ก็ได้ถูกเผยแพร่ลงบนอินเทอร์เน็ต และได้กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันเป็นความจริง หรือเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ...

       

      THE END



       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×